5 อาชีพสุดปัง หาเงินออนไลน์ ในปี 2565
วิธีหาเงินออนไลน์ จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วย สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ทิศทางการทำงาน ทั้งใน และต่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ในปัจจุบันกลุ่มคนที่ทำงานประจำ หรือแม้แต่ฟรีแลนซ์ ต่างก็ต้องปรับ “ทักษะ” (Skills) ของตัวเอง ให้สอดคล้องกับความต้องการ ของตลาด เพื่อปรับตัวไม่ให้หลุดออกจากตลาดแรงงานหรือเพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อรับโอกาสใหม่ๆ
ดังนั้น จึงมีคนจำนวนมาก หันมาทำงานออนไลน์กันมากขึ้น และกลายเป็นทางเลือกของคนยุคใหม่ ที่ต้องปรับตัว ให้เข้ากับกระแสโลกดิจิทัล เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบัน มาดูกันเลยค่ะว่ามีอาชีพอะไรบ้างที่กำลังเป็นที่นิยมหาเงินออนไลน์ในปัจจุบัน
1.Affiliate Marketing
คือรูปแบบของ การตลาดออนไลน์ ที่เราสามารถ นำลิ้งค์สินค้า และบริการต่างๆ จากเว็บไซด์ มาแนะนำ เพื่อส่งคน ไปซื้อสินค้านบเว็บไซด์นั้นๆ โดยที่เรา จะได้ค่า Commission จากการขายสินค้า เป็นค่าตอบแทน ยิ่งคนไปซื้อสินค้า มากเท่าไหร่ เราก็จะได้ค่า Commission มากขึ้นตามไปด้วย
เคล็ดลับที่จะช่วยให้ หาเงินออนไลน์ Affiliate Marketer ประสบความสำเร็จ
-การพัฒนาความสัมพันธ์
เมื่อเริ่มต้นอาชีพ Affiliate Marketer คุณจะต้องศึกษากลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจในแต่ละด้านโดยเฉพาะเจาะจง วิธีนี้ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งแคมเปญ Affiliate ของคุณให้เข้ากับแบรนด์นั้นๆได้ การสร้างตัวเองให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งแทนที่จะโปรโมตผลิตภัณฑ์ทีละจำนวนมากๆ คุณจะทำให้ผู้คนสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ของคุณมากขึ้น
-ทำให้เป็นส่วนตัว
คุณสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่คุณเชื่อถือเป็นการส่วนตัวได้ โดยคุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแคมเปญของคุณมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์เพื่อให้เห็นคุณค่าอย่างแท้จริง ที่จะสามารถทำให้ผู้บริโภคพึงพอใจ และประทับใจ ในขณะเดียวกันก็สร้างความน่าเชื่อถือให้กับ personal brand ของคุณเช่นกัน
-เริ่มตรวจสอบผลิตภัณฑ์และบริการ
โฟกัสกับผลิตภัณฑ์และบริการที่อยู่ในช่องของคุณ จากนั้นใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์ที่คุณสร้างขึ้นกับผู้ชม และจุดยืนของคุณในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เพื่อบอกผู้เข้าชมถึงตัวสินค้าว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากการซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณกำลังโปรโมตอย่างไร
-ใช้แหล่งข้อมูลหลายแหล่ง
แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่แคมเปญอีเมลเพียงอย่างเดียวให้ใช้เวลาในการโฟกัสรายได้กับบล็อก การเข้าถึงผู้ชมของคุณบนโซเชียลมีเดีย ทดสอบกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายเพื่อดูว่าผู้ชมของคุณตอบสนองต่อสิ่งใดมากที่สุด
-เลือกแคมเปญด้วยความระมัดระวัง
ไม่ว่าทักษะการตลาดของคุณจะดีเพียงใด แต่ถ้าผลิตภัณฑ์คุณไม่ดีก็สามารถทำเงินได้น้อยเช่นกัน ใช้เวลาศึกษาความต้องการสินค้าก่อนที่จะโปรโมต อย่าลืมหาข้อมูลของผู้ขายด้วยความระมัดระวังก่อนที่จะร่วมมือกัน โดยเวลาของคุณนั้นมีค่า คุณต้องแน่ใจว่าคุณจะใช้ไปกับผลิตภัณฑ์ที่สร้างผลกำไรให้คุณ
-อยู่กับเทรนด์ปัจจุบัน
แม้จะมีการแข่งขันมากมาย และกดดันในขอบเขตการตลาดแบบ Affiliate คุณจะต้องแน่ใจว่าคุณอยู่เหนือเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ติดตามกลยุทธ์ใหม่ๆ เหล่านี้อยู่เสมอเพื่อรับประกันว่าอัตรา Conversion และรายได้ของคุณจะได้รับสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
2.Influencer
Influencer คือ กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมาย และมีชื่อเสียงในด้านความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และเผยแพร่เรื่องราวต่างๆบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างผู้ติดตาม และการมีส่วนร่วม เรียกได้ว่า เป็นการสื่อสารผ่านแนวคิดของบุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นการตลาดแบบปากต่อปากนั่นเอง
ในการทำการตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบัน พลังเสียงของบุคคลที่ 3 มีผลต่อการสื่อสารการตลาด ทั้งการสร้างการรับรู้ สร้างความสนใจ สร้างความเชื่อมั่น และนำไปสู่การซื้อสินค้า ทำให้ Influencer Marketing กลายเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ห้ามมองข้าม เพราะจะเป็นการปิดโอกาสที่จะเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆทันที
ประเภทของ Influencer จะแบ่งตามระดับผู้ติดตาม ดังนี้
-Nano Influencer (มีผู้ติดตาม 1,000-10,000 คน)
เปรียบเสมือนบุคคลทั่วไปที่มีอิทธิพลในหมู่คนรู้จักหรือเพื่อนๆ เช่น ดาวโรงเรียน, นักกีฬาตัวจริง, ประธานนักเรียน, หรือแม้แต่คนที่มีลักษณะโดเด่นจนเป็นที่น่าจดจำในหมู่เพื่อน ทำให้การว่าจ้างจึงไม่สูงมากนัก และยังมีอิทธิพล มีความน่าเชื่อถือต่อบุคคลรอบข้างทั้งเพื่อน, ครอบครัว, คนรู้จัก ฯลฯ
-Micro Influencer (มีผู้ติดตาม 10,000-50,000 คน)
มีฐานแฟนคลับจากแนวทางหรือคอนเทนต์ที่นำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจ และสร้างสรรมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถดึงดูดผู้คนได้มากขึ้น และจะมีแนวทางการทำคอนเทนต์ที่ชัดเจน เช่น ช่องทำอาหาร ช่องรีวิวร้านอาหาร ช่องท่องเที่ยว ฯลฯ ทำให้แบรนด์สินค้าสามารถเลือกว่าจ้างได้อย่างมีจุดประสงค์มากขึ้น
-Mid-Tier Influencer (มีผู้ติดตาม 50,000-100,000 คน)
มักจะมีแนวทาง และตัวตนที่ชัดเจนอยู่แล้ว และยังมีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับผู้คนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น รู้ว่ากลุ่มผู้ติดตามต้องการอะไร คอนเทนต์ลักษณะไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ติดตามได้ ทำให้สามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ได้ตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้น เช่น ชอบคอนเทนต์แนวรีวิวอสังหาริมทรัพย์, แจกของรางวัล givaway เป็นต้น
-Macro Influencer (มีผู้ติดตาม 100,000-1,000,000 คน)
กลุ่มคนเหล่านี้จะมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น และมักจะโดดเด่นในช่องทางและแนวทางที่ชัดเจน และส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่สร้างรายได้จากการทำคอนเทนต์ของตัวเอง ซึ่งกลุ่มนี้จะมีการสร้างการรับรู้ได้ชัดเจน เพราะการสื่อสารมักจะถูกออกแบบมาโดยผ่านกระบวนการคิด และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด รวมไปถึงการทำคอนเทนต์ที่เป็นมืออาชีพ มีตัวตนที่โดดเด่น และแนวทางของช่องทางที่ชัดเจน ส่วนใหญ่แล้วขั้นนี้มักจะหันมาเป็น Influencer เต็มตัวเพราะสามารถหารายได้ที่เพียงพอจากการทำคอนเทนต์ของตัวเองได้อยู่แล้ว ทำให้มักจะมีการกลั่นกรองแบรนด์สินค้า และละเอียดอ่อนในการเลือกทำคอนเทนต์ เพราะเป็นที่จับตามอง เช่น ศาสนา, การเมือง, ทัศนคติ เป็นต้น
-Mega Influencer (มีผู้ติดตาม มากกว่า 1,000,000 คนขึ้นไป)
บุคคลเหล่านี้จะมีชื่อเสียงมากในด้านใดด้านหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา, นักกีฬา, นักร้อง ที่ผู้คนให้การยอมรับ หรือเป็น Influencer ที่มีชื่อเสียงในวงกว้าง ซึ่งสามารถช่วยสร้างการรับรู้แบบไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย มีแรงจูงใจที่แตกต่าง เช่น ซื้อสินค้าตามดาราคนนี้ เพราะเป็นแฟนคลับ เป็นต้น
3.content creator
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ (Content Creator) คือ นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ โดยไม่จำกัดรูปแบบ จำนวนผู้ติดตาม หรือแพลตฟอร์ม และหากอยากเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์มืออาชีพ ต้องให้ความสำคัญในเรื่อง ความต่อเนื่อง การวางแผน รักที่จะทำ และมีทักษะด้านคอนเทนต์ด้วย
Content Creator นอกจากจะคิดเนื้อหาเก่งแล้วยังต้องเข้าใจในตัวแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นอย่างดีอีกด้วยจึงจะทำให้คอนเทนต์ที่ปล่อยออกไปเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
4.การทำ SEO
SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนทางการตลาดดิจิทัลที่ทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกในการค้นหา (บนหน้า Google) เมื่อมีผู้ค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้องที่คนทำ SEO กำหนดเอาไว้ ยิ่งเว็บไซต์อยู่สูงเท่าไหร่ ยิ่งเป็นโอกาสที่คนจะมองเห็น ถูกคลิก และอาจจะได้ยอดขายและกำไรในท้ายที่สุด
การทำ SEO นี้ไม่ได้จำเพาะในเรื่องดึงเนื้อหาออกมาจัดอันดับ แต่ยังรวมถึง การดึงรูป และวีดีโอ ออกมาให้คนพบเจอได้ด้วย ซึ่ง SEO ต้องอาศัยทั้งระยะเวลาและการทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในระยะยาว
และด้วยเหตุที่ SEO นั้นไม่ต้องเสียเงินให้ Google แม้แต่บาทเดียว สิ่งที่ต้องทำจึงเป็นการพัฒนาและจัดระเบียบเว็บไซต์ไปพร้อมๆ กับการปรับปรุง Content เพื่อสร้างเครือข่ายสู่การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของตนจน Google เห็นว่าเว็บนั้นๆ มีศักยภาพในการดึงดูดผู้เข้าชม และตอบโจทย์ผู้ใช้ จึงจะค่อยๆ เลื่อนลำดับหน้าเว็บ ให้ขึ้นมาอยู่บนหน้าแรก ยิ่งเป็นตำแหน่งแรก (บนสุด) ด้วยแล้วถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด ที่ทุกธุรกิจต่างแย่งชิง
5.Social Media Marketing (SMM)
เป็นการทำตลาดบนสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Twitter, LINE โดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับแพลตฟอร์มนั้นๆ เช่น การโพสข้อความ รูปภาพ วิดีโอ รวมถึงการเสียเงินลงโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในช่องทางหลักของการทำการตลาดออนไลน์ที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญ
Social Media Marketing ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร
-ช่วยประชาสัมพันธ์แบรนด์หรือร้านค้า
ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ ร้านค้าออนไลน์ หรือร้านค้าที่มีหน้าร้าน การทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียมีส่วนสำคัญในการช่วยให้คนรู้จักธุรกิจของเรามากขึ้น ทั้งมีสินค้าและบริการอะไรบ้าง ช่วยเพิ่มโอกาสให้คนมาซื้อหรือใช้บริการได้ รวมถึงทำให้รู้ว่าร้านเราอยู่ที่ไหนอีกด้วย
-ได้ใกล้ชิดผู้บริโภค
การใช้โซเชียลมีเดียเป็นการสื่อสารสองทาง ทำให้เราสามารถพูดคุยกับลูกค้าได้โดยตรง และลูกค้าจะเข้าหาเราเองถ้ามีคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่าถูกผูกมัด หรือรู้สึกถูกยัดเยียดข้อมูล อีกทั้งยังเป็นช่องทางที่ดีที่ลูกค้าจะติดตามธุรกิจเรา ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น สินค้าใหม่ๆ หรือเรื่องราวที่น่าสนใจ โอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าก็มีมากขึ้น
-เจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้ค่อนข้างแม่นยำ
การตลาดแบบเดิมๆ อาจจะเจาะจงกลุ่มเป้าหมายไม่ได้เท่าไหร่นัก แต่ในโซเชียลมีเดียนั้น เราสามารถกำหนดเป้าหมายในการลงโฆษณาได้ เช่น อายุ เพศ ความสนใจ ที่ตั้ง รวมถึงการกำหนดจุดประสงค์ในการลงโฆษณา เช่น เพิ่มการดำเนินการ (เช่น ยอดขาย ผู้เข้าชม) เพิ่มการมีส่วนร่วม (เช่น กดไลค์) อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มที่หลากหลาย สามารถศึกษาพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายของเราได้ว่าชอบใช้แพลตฟอร์มไหน เช่น ถ้าขายเสื้อผ้า กลุ่มลูกค้าอาจชอบใช้อินสตาแกรมมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น ก็จะโปรโมทสินค้าของเราได้ตรงจุด
-วัดผลและปรับปรุงโฆษณาได้
ข้อดีของการลงโฆษณาทางโซเชียลมีเดียที่สำคัญอีกอย่างคือการวัดผลจากการลงโฆษณาว่าคุ้มกับเงินที่ลงไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขาย ถ้าแคมเปญโฆษณาไหนไม่สามารถกระตุ้นยอดขายได้ ก็สามารถปรับเปลี่ยนหรือทดลองรูปแบบโฆษณาอื่นๆ ได้
แสดงความคิดเห็น